วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

27-28 Feb: วันเผาหลวงพ่อสะอิ้ง



เมื่อวานคุมสอบทั้งวัน ตอนนี้ว่างอีก เมื่อคืนไปงานสวดศพลพ.สะอิ้งคืนสุดท้าย กุ้งก็มาทักพร้อมแนะนำให้รู้จักญาติทั้งหลายที่เราเห็นทุกวันที่ไป แต่เราก็พยายามหลบเท่าที่ทำได้ แต่คืนนี้ไม่พ้น บางคนเช่น พี่แอ๊ดเคยไปเจอกันที่ภูเก็ตหลายปีแล้ว พี่พาไปเเลี้ยงข้าว แต่เราจำเขาไม่ได้ แต่พี่เขาจำเราได้ โลกกลมมากเจอกันที่นี่ ก็ดีใจที่ได้พบ....

ญาติทางสายเลือดที่เป็นสาแหรกนี่มากมายจริงๆ ญาติที่ดูแลกันยามยากนี่หาได้น้อยมาก โลกก็เป็นเช่นนี้ เราในฐานะที่รู้จักท่านวุฒิมา 20 ปี ได้มีโอกาสรู้จักหลวงพ่อก็ตอนที่จะบริจาคเตียงผู้ป่วยให้กับภิกษุที่อาพาธ เพราะเตียงนั้นยายซื้อเป็นเตียงใหม่ คุณภาพดี ยายใช้ไม่นานนักก็เสียชีวิต เราก็อยากจะให้เกิดประโยชน์ เลยถามหาว่ามีพระใดที่อาพาธและต้องการใช้เตียง เก้าอี้เข็น ท่านวุฒิเห็นว่ามีประโยชน์ เราจึงได้มีโอกาสรู้จัก และมาถวายให้หลวงพ่อ เห็นหลวงพ่อครั้งแรกก็รู้สึกอบอุ่น สงสารที่ท่านต้องนอนอาพาธเช่นนั้น หลังจากที่รู้จากตาน้อย คนที่คอยเฝ้าดูแล และแม่ชี

 หลังจากครั้งนั้นเราก็แวะเวียนเอาแพมเพอสมาถวาย เอาของที่ท่านควรจะฉันได้มาถวายเป็นระยะเท่าที่โอกาสอำนวย หลายครั้งที่รู้สึกเป็นห่วงและคิดถึงหลวงพ่อแต่ไม่ได้แวะไป จนครั้งหลังสุดได้แวะไปตอนหลังปีใหม่ ไปกราบท่านอีกครั้งจ้าคณะภาคฝากรังนก1 ตะกร้าไปถวาย  link เปิดถวายลพ. ท่านก็ฉันจนหมด หลังจากนั้นเราก็บอกพี่ติ่งให้แวะไปกราบหลวงพ่อด้วย พี่ติ่งและคณะไปเยี่ยมท่าน โทรบอกเราว่าหลวงพ่ออารมณ์ดีมาก แจ่มใสมาก หัวเราะด้วย หลังจากนั้นเเราไปเยี่ยมอีกครั้งเดือนกพ.เพราะอยู่ดีๆรู้สึกอึดอัดมาก กระวนกระวายใจตั้งแต่เช้า รู้สึกมากว่าอยากจะไปกราบลพ.ไม่รู้เหตุผลเลยโทรไปถามท่านเหมี่ยวก่อนว่าอยู่ไหม ท่านก็บอกว่าอยู่รพ. จึงรู้ว่าท่านป่วยแต่เราก็แวะไปวัดไปคุยกะท่านเหมี่ยว และตั้งใจว่าจะแวะไปเยี่ยมลพ.อีกวันหลังเพราะวันนั้น link เป็นหวัดไม่อยากเอาไปติดหลวงพ่อหากลพ.ป่วยอยู่  วันรุ่งขึ้นท่านเหมี่ยวจึงโทรมาบอกว่าหลวงพ่ออาการไม่ค่อยดี คราวนี้น่าเป็นห่วง เราเองไม่คิดว่าเช้านั้นที่ไปกราบท่านจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ให้ท่านตบหัว  ทุกครั้งที่ไปท่านจะกวักมือให้ไปไกล้ๆแล้วตบหัว.........ครั้งท้ายสุดที่ไปก่อนท่านป่วยท่านตบหัว link แล้วกด แล้วท่านก็พูดว่า "คนนี้ดี ไปสวรรค์"  link เป็นปลื้มมากจนเกทับเราได้หลายครั้ง หุหุ........



วันนี้เป็นวันเผาหลวงพ่อ เราแลกเวรคุมสอบเรียบร้อย ไปรับหนังสือที่ระลึก 3 กล่องใหญ่จากทัวร์ พาไปวัด ปรากฎว่ายังไม่มีใครช่วยจัดบรรจุของที่จะแจกเลย ก็เลยต้องอยู่ช่วยบรรจุทั้งเหรียญ และหนังสือ ก็มีโยมผู้ชายอีกคนที่หาคนมาช่วยเพิ่มในภายหลัง ก็เลยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ช่วยกันผู้ชายทั้งนั้นมีเราเป็นหญิงคนเดียว จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้มักเป็นผู้หญิงนิยมทำ..ญาติหลวงพ่อตั้งแต่รุ่นหลานๆที่เห็นมากันเยอะก็ผู้หญิงทั้งนั้น แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายยืนไหว้รับ-ส่งแขก เข้าแถวเดินออกมากรวดน้ำตอนค่ำหลังพระสวด



ช่วยกันบรรจุได้  1,000 ชุดเราต้องกลับก่อน เพราะไม่ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางคนมากมาย วุ่นวายมาก วันนี้คนอยากได้เหรียญลพ.มากมาย เราเลยไปกราบหลวงพ่อ จุดธูปขอขมาหากทำหนังสือส่วนใดผิดพลาดไป หรือไม่ถูกใจหลวงพ่อ และขอให้ท่านไปยังสุคติในภพภูมิที่ต้องการ แวะไปทักทายแม่ชี แม่ชีเล่าเรื่องหลายเรื่อง เล่าไปร้องไป....เราก็ปลอบใจแม่ชีให้ไม่ต้องไปสนใจใคร ใครจะว่าอะไร ก็ให้พูดไป ดีเลวถูกผิดเรารู้แก่ใจ ใครทำกรรมอะไรไว้เขาก็ไม่พ้นวิบากกรรมตน เราสบายใจในสิ่งที่ทำถูกเป็นพอ  ...เรื่อง 2  เรื่องที่ใครๆไม่ควรเข้าไปวุ่นวายรับรู้มากนักคือ เรื่องญาติ และเรื่องเงินๆทองๆ ไม่มีจบสิ้น ใครผิดถูก ดี ไม่ดี ก็เรื่องเขาเราไม่มีวันรู้ความจริงหากไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเขา ฉะนั้น รู้น้อยๆดีกว่า จิตไม่ตก ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ให้หลวงพ่อ  เพราะเราเคารพหลวงพ่อ มาเพราะหลวงพ่อ ไม่เคยรู้จักญาติ ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเจอญาติท่าน ......  ออกมาทานก๋วยเตี๋ยวทะเล ไปซื้อครัชเชอเบอรี่ แล้วกลับมาพักผ่อน

 
 
ลูกศิษย์ พุทธบริษัทมากมายมาร่วมส่งท่าน
 
เตรียมทำพิธีเผาจริง
 
คืนนี้ไปร่วมงานเผาจริงพิธีเริ่ม 2 ทุ่ม มีรำมโนห์รา ปี่พาทย์ฆ้องวง ไปเจอกู๋ที่ภรรยาเป็นญาติหลวงพ่อ มาถามว่ามีหนังสือเหลือหรือไม่ จริงๆเราไม่ได้เก็บไว้เพื่อสะสม แต่ตอนเช้าขออนุญาติท่านวุฒเก็บไว่ให้กลุ่มพี่ติ่ง 3 เล่มที่มาร่วมเป็นเจ้าภาพ เก็บให้ร้านสุคติที่มอบโลงให้โดยไม่คิดเงิน ของเรา 1 ชุดและของพระอาจารย์ ไม่มีเก็บเกิน ทั้งๆที่รู้ว่าไม่พอ แต่คิดว่าแล้วแต่บุญของใคร ปรากฎว่ากู๋บอกว่าหนังสือไม่พอแจก อะไรๆก็ไม่พอเหมือนมีการเวียนเทียนมารับอีก เราก็บอกว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์ คนคงรู้เลยมากันมากมายอยากได้พระเครื่องไป

คนมาร่วมเผาจริงมากเกินคาด เราอยู่ร่วมจนกรวดน้ำก็กลับ ท่านเจ้าคณะจังหวัดกล่าวนำขอขมา เสียงท่านก็สั่นเครือ เพราะท่านมีศักดิ์เป็นทั้งหลาน และศิษย์
 มองเห็นร่างหลวงพ่ออีกครั้ง ไม่รู้สึกเศร้า แต่รู้สึกว่าดีใจ เพราะหลวงพ่อคือผู้ที่พ้นทุกข์แล้วจริงๆ พ้นไปไกลจากกิเลสทั้งหลาย ตระหนักว่าชีวิตมีแค่นี้จริงๆ แล้วเผลอใจไปคิดถึงสองสามีภรรยาที่ไม่ "สุขเกษม" คอยเบียดเบียนผู้อื่น ก่อกรรมต่อเนื่องไม่รู้จบ ด้วยความโลภตลอดเวลา เขาน่าจะมาเห็นภาพเหล่านี้ แล้วจะรู้เลยว่า เขาควรเลิกการก่อกรรมแบบนั้นได้แล้ว ใช้ชีวิตที่เหลือไม่มากนัก อย่างมีสุขจากการลดความโลภ โกรธ หลง เสียดาย สงสารลูกเขาจริงๆ...

เราเดินออกจากงานเงียบๆ กราบลาท่าน ด้วยความรู้สึกว่าเราทั้งสองได้ทำหน้าที่อุบาสก อุบาสิกา ต่อผู้ที่เราเคารพ และต่อภิกษุผู้เป็นสุปฎิปันโณอย่างแท้จริง ครบถ้วนแล้ว ที่เหลือคือพยายามที่จะปฎิบัติตน ฝึกตน เตือนตน ให้ดำเนินชีวิตที่เหลือต่อไป ตามทำนองคลองธรรม และมีสติ