ช่วงนี้ยุ่งงานเตรียมสอน ตำราสอนเสร็จเรียบร้อยเสียที หลังจากพักป่วยมาเป็นสิบกว่าวัน เพิ่งกลับมาจากไปงานแต่ง ลูกชายเพื่อนแต่งงาน เป็นเพื่อนสนิทมากตั้งแต่เรียนป.ตรี เลยตัดสินใจไปร่วมงาน จัดงานใหญ่อลังการงานสร้าง เฉพาะงานยกขันหมากเลี้ยงแขก ใช้สถานที่ในรีสอร์ทชานเมืองกรุงเทพของตัวเอง หมดไปแล้วสี่ล้านเศษ (ไม่รวมค่าสินสอดเป็นปึกต้องใส่สองพานยักษ์ ทองเต็มพาน) เราไปพักบ้านเพื่อนเจ้าของงาน เพื่อนวิศวะ วิทยาศาสตร์รุ่นเดียวกันไปเจอกัน แต่กลุ่มวิทยาฯไปน้อยเพราะแต่ละคนจะรอไปงานเลี้ยงใหญ่ค็อกเทล แต่งชุดราตรี สูทหรู กันเราไม่ไปงานนั้นเพราะคงไม่เหมาะกับชุด ไม่เคยใส่ชุดราตรีประกอบเครื่องอัญมณี เพราะอยู่บ้านนอกเคยชิน ...ไปเจอเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันนาน เพื่อนเราไปเล่าเรื่องที่ตำรวจรังแกเราให้ผู้ใหญ่และเพื่อนในงานฟัง เจ้าพ่อได้ยินก็โกรธเรามากถามว่าเรื่องแบบนี้ปล่อยไว้ทำไมนานมาก และไม่ให้เพื่อนๆรู้...พวกนี้เลยเบรนสตอร์มแทนเราหมด ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวว่าหยุดเสียเถิดทางธรรม เอาทางโลกที่ต้องทำก่อน เมตตาใช้กับตำรวจโอฬารคนนี้ไม่ได้...ว่าแล้วมีเรางานเข้าเพราะพวกนี้เขาไม่ยอมให้เราถูกรังแก ขนาดกลับมายังถูกตามจี้อีก เฮ้อ!!
ในงานมีผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการต่างๆ อดีตอธิบดี...และคุณหญิง...มาด้วยสวยมาก ท่านทนง พิทยะ มาด้วย หลายคนเป้นกลุ่มธุรกิจ การเมือง กลุ่มดารามา 1 กลุ่ม เรารู้จักคนเดียว สวยๆทั้งนั้น มีหนุ่มสาวกลุ่มจบจากอเมริกา อังกฤษแห่งดียวกับลูกชายเพื่อนมาถือของขันหมากกันมากมาย ก็ดูว่าโลกนี้เป็นของคนรุ่นใหม่จริงๆ
ตอนแรกเพื่อนจะพาไปคุยกับผู้ใหญ่แต่เราบอกขอไว้ก่อน ยังไม่เดือดร้อนอะไรนัก ตอนนี้แค่หมาเห่า อย่าเห่าตอบ หมากัดก็แค่มองหน้ามันก่อน เราไม่ไช่หมาคงยังไม่ต้องกัดตอบ แต่อยากบอกมันว่าคิดให้ดีก่อน กรรมมีเวลาของมันในการตอบสนอง นี่ก็คงใกล้เต็มทีแล้ว